ถึงแม้ประเทศไทยจะมีอยู่ 3 ฤดูคือ ร้อน หนาว ฝน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ไม่ว่าจะฤดูไหนอากาศประเทศไทยของเราก็ยังคงร้อนเป็นส่วนใหญ่ แม้จะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว เราก็ยังใช้วิธีเปิดแอร์เพื่อรักษาอุณหภูมิห้องให้สูงกว่าอุณหภูมิด้านนอกที่หนาวเหน็บได้อีกด้วย เพราะเหตุผลเหล่านี้แอร์จึงเริ่มกลายมาเป็นไอเทมที่แทบทุกบ้านต้องมี เพื่อสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้น่าอยู่
แอร์มีทั้งหมด 3 ประเภท คือ
- แอร์ติดผนัง
เครื่องปรับอากาศที่นิยมตั้งภายในบ้าน เหมาะสำหรับติดตั้งในห้องขนาดไม่ใหญ่มาก อย่างเช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก ขนาดทำความเย็นเริ่มตั้งแต่ BTU ต่ำ 9,000 BTU ไปจนถึงขนาดปานกลาง 24,000 BTU
- แอร์ผังฝ้า
เป็นแอร์ที่มีความหรูหรา ตัวเครื่องและระบบทุกอย่างจะซ่อนอยู่ใต้ฝ้าเพดาน ช่วยกระจายความเย็นไปทั่วห้องได้อย่างทั่วถึง แต่แลกมาด้วยค่าไฟสูง
- แอร์เคลื่อนที่
เป็นแอร์ขนาดเล็ก มี BTU น้อยกว่าแอร์ติดผนังและแอร์ผังฝ้า ให้ความเย็นและกระจายความเย็นได้น้อยกว่า แต่เคลื่อนที่ได้ตามต้องการ
สำหรับใครที่กำลังจะซื้อแอร์เข้าบ้าน วันนี้เรามีวิธีเลือกแอร์และ BTU ที่เหมาะสมกับขนาดห้องมาฝากกัน !
วิธีเลือกแอร์ของห้องที่มีอุณหภูมิปกติ
- 5-7 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 5,000 BTU
- 10-14 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 9,000 BTU
- 14-18 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 12,000 BTU
- 18-22 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 15,000 BTU
- 22-26 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 18,000 BTU
- 25-29 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 20,000 BTU
- 27-31 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 22,000 BTU
- 30-34 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 24,000 BTU
- 38-42 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 30,000 BTU
- 46-50 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 36,000 BTU
- 51-55 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 40,000 BTU
วิธีเลือกแอร์ของขนาดห้องที่แสงแดดเข้าถึง
- 4-8 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 5,000 BTU
- 9-13 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 9,000 BTU
- 13-17 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 12,000 BTU
- 17-21 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 15,000 BTU
- 20-24 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 18,000 BTU
- 23-27 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 20,000 BTU
- 25-29 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 22,000 BTU
- 28-32 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 24,000 BTU
- 35-39 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 30,000 BTU
- 44-47 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 36,000 BTU
- 48-52 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 40,000 BTU
วิธีเลือกแอร์โดยใช้สูตรคำนวณ BTU
หากคุณต้องการความแม่นยำสูงสุด สามารถใช้สูตรคำนวณ BTU ได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่หลายคนนิยมกัน เริ่มจากการหาขนาดห้องในองศา ‘กว้างคูณยาว’ ให้ได้หน่วยวัดเป็นเมตร และนำมาคูณกับตัวแปรหรือความแตกต่าง เช่น หน้าต่างและมุมต่างๆ ของห้อง, ทิศทางของแดดที่ส่องกระทบห้อง, วัสดุหลังคามีฉนวนกันความร้อนหรือไม่ รวมถึงจำนวนคนผู้อยู่อาศัยในห้องนั้นๆ
โดยใช้สูตรคำนวณดังนี้
BTU = พื้นที่ห้อง ( กว้าง x ยาว ) x ความแตกต่าง
ความแตกต่างในข้างต้นจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- 600-700 = ห้องที่มีอุณหภูมิปกติ อากาศจะไม่ค่อยร้อนมาก มักใช้แอร์เฉพาะตอนกลางคืน
- 700-800 = ห้องที่แสงแดดเข้าถึง อากาศจะร้อนสูงในตอนกลางวัน มักใช้แอร์เพิ่มความเย็นทั้งกลางวันและกลางคืน
ปัจจัยที่ใช้พิจารณาร่วมกับวิธีเลือกซื้อแอร์พื้นฐาน
- จำนวนคนที่พักอาศัยในห้องนั้นๆ
- จำนวน / ขนาด ของหน้าต่างและประตูภายในห้อง
- บนหลังคามีฉนวนกันความร้อนหรือไม่ แล้วบ้านของเรามีกี่ชั้น
- จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องมีกี่ชิ้น เพราะการปล่อยความร้อนส่งผลต่อการทำความเย็นของแอร์
- ภายในห้องมีแดดส่องถึงกี่เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ และระยะเวลาที่แดดส่องถึงอยู่ในช่วงใดบ้าง สามารถสังเกตเบื้องต้นได้ด้วยสายตาตัวเอง
สุดท้ายนี้วิธีเลือกซื้อแอร์ที่ดีคือไม่ควรเลือกที่ BTU สูงเกินไปหรือต่ำเกินไป เพราะถ้าเราเลือก BTU สูงมากเกินไป จะทำให้คอมเพลสเซอร์แอร์ตัดบ่อยเกินไป ทำให้ประสิทธิภาพในการทำความเย็นลดลง และกลับต้องเปลืองไฟเพิ่มขึ้นโดยใช่เหตุ ส่วนถ้าเลือก BTU ต่ำไป จะทำให้คอมเพลสเซอร์แอร์มำงานหนักตลอดเวลา ความเย็นในห้องไม่เป็นไปตามอุณหภูมิที่ต้องการ ทำให้แอร์เสียง่ายและเปลืองเงินมากเช่นกัน เพราะฉะนั้นวิธีเลือกซื้อแอร์ที่ถูกต้องจึงควรเลือก BTU ที่เหมาะสมกับตัวห้อง เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ส่งผลให้สิ้นเปลืองค่าไฟจนเกินไปนั่นเอง
สำหรับการซื้อแอร์อาจต้องมีค่าใช้จ่ายสูง มาจบปัญหาเรื่องความร้อนที่กวนใจเจ้าของบ้านด้วยการสมัครบัตรเครดิตจากหลายหลายสถาบันการเงินของ Rabbit Care ก็จะสามารถรูดซื้อแอร์เข้าบ้านได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ในทีเดียว สามารถเลือกประเภทบัตรเครดิตที่เหมาะกับคุณได้แล้ววันนี้ที่เว็บไซต์ https://rabbitcare.com